iPhone 6s กล้องใหม่ สีใหม่ ฟีเจอร์ใหม่ คุ้มหรือไม่มาดูกัน โดย Mana Review

iPhone 6s กล้องใหม่ สีใหม่ ฟีเจอร์ใหม่ คุ้มหรือไม่มาดูกัน โดย Mana Review


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เพิ่งจะมีข่าวกำหนดการวางจำหน่ายกันไปสำหรับสำหรับสมาร์ทโฟนใหม่ล่าสุดของ Apple อย่าง iPhone 6s และ iPhone 6s Plus จากเครือข่ายมือถือยักษ์ใหญ่ 3 เครือข่าย AIS , Dtac และ TrueMove H ที่จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ตุลาคมที่จะถึง และจะเปิดให้จองล่วงหน้าในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ดูเพิ่มเติม

เพื่อนๆ หลายท่านต่างก็กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อดีไหม? จะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือเปล่า? ฟีเจอร์ใหม่ดีจริงไหม? กล้องใหม่จะดีหรือเปล่า? วันนี้เราจึงมีรีวิว iPhone 6s ของ คุณ ดร มานะ แต่บางทีก็ไม่มานะ หรือ Mana Review จาก Pantip.com มาฝากกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะให้เพื่อนๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ เราไปชมรีวิวนี้กันเลยค่ะ

ในที่สุด iPhone 6s ก็ออกมาแล้วครับ!

จากกระทู้แรกของผมตอนปลายเดือนเมษาที่ผ่านมา หลายคนอาจจะจำได้ว่า ผมใช้สินค้าตราผลไม้เป็นหลักมาตลอด ทั้ง iPhone, iPad และ Mac เรียกได้ว่าเป็นสาวกคนนึง (มั้ง? ฮ่าๆ) พอดีภรรยาผมต้องไปฮ่องกง เลยสั่งเครื่องทาง Agent แล้วให้ภรรยาไปรับเครื่องเมื่อสัปดาห์ก่อนที่แล้วนี่เองครับ เหมือนเดิมครับ หลังทดลองใช้ 1 สัปดาห์ ก็ถึงเวลารีวิวตามประสบการณ์ใช้งาน ผมได้สรุปออกมาเป็น 6 ประเด็นง่ายๆ ตามนี้

(ถ้าต้องการอ่านรีวิวแบบแกะกล่องแนะนำ http://spin9.me/2015/09/25/review-iphone6s-plus/ ครับ)

1. วัสดุและการออกแบบ

โดยรวมเรื่องดีไซน์ไม่มีอะไรให้เขียนเยอะเพราะหน้าตา iPhone 6s เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้ทุกประการ ต่างกันแค่มีตัวอักษร ‘s’ อยู่หลังเครื่อง และไม่มีสัญลักษณ์ FCC 4-5 อันอีกต่อไปแล้ว (จริงๆ ข้อมูลทางเทคนิคระบุว่ามีความหนามากขึ้นนิดหน่อย แต่น้อยมากจนไม่รู้สึก และสามารถใช้เคสเดียวกับ iPhone 6 ได้เลยครับ)


ตอนถือรู้สึกว่า iPhone 6s หนักกว่ารุ่นก่อนอยู่นิดนึง เพราะทาง Apple เปลี่ยนวัสดุมาใช้ Aluminum เกรด 7000 series แบบใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม (เหมือนที่ใช้ใน Apple Watch) หลังจากรุ่นก่อนมีกรณีเครื่อง iPhone 6 plus งอจากการนั่งทับตอนอยู่ในกระเป๋ากางเกง


แต่ครับแต่!!! ถึงแม้ว่าดีไซน์จะเหมือนเดิมก็จริง แต่ที่ค่อนข้างจะฮือฮาในหมู่สาวๆ คือ สีชมพู Rose Gold ขนาดสาวก Android อย่างแม่กวางน้อยภรรยาของผม เธอยังบ่นอุบอิบว่า แบรนด์อื่นน่าจะทำสีนี้ออกมาบ้าง เพราะดูอ่อนหวานเหมาะกับผู้หญิงหวานๆ อย่างเธอ (อันนี้ภรรยาผมพูดเอง)


ตรงขอบปุ่ม Home ก็เป็นสี Rose Gold ทำให้ด้านหน้าไม่ขาวจนเกินไป ส่วนรายละเอียดอื่นๆ อย่างการจัดเรียงตำแหน่งของปุ่มต่างๆ และการประกอบตัวเครื่องยังเนี๊ยบตามมาตรฐานของ Apple เหมือนเดิมเป๊ะ



ซึ่งถ้าวัดกันที่ความเนี๊ยบ ผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่า Apple ทำได้ดีกว่า Samsung และค่ายอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด


และแน่นอน มันต้องมีจุดที่รู้สึกขัดใจบ้างแหละหน่า อย่างกล้องหลังที่มันนูนขึ้นมาไม่เป็นระนาบเดียวกับตัวเครื่อง ทำให้เวลาวางบนโต๊ะ (ตอนไม่ใส่เคส) ค่อนข้างกระโดกกระเดกมาตั้งแต่สมัย iPhone 6 ถึงแม้เวลาใช้จริงคนส่วนใหญ่จะใส่เคสก็ตาม ในฐานะที่ติดตามกันมานาน ก็ยังแอบขัดใจอยู่ดี

2. กล้อง

ถือว่าเป็นฟังก์ชั่นที่พัฒนาขึ้นกว่ารุ่นก่อน (ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว…) อัพเกรดความละเอียดได้ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนในระดับเดียวกันสักที

2.1) กล้องหลัก (กล้องหลัง)

12 ล้านพิกเซล มากกว่า iPhone 6 ที่มีความละเอียดแค่ 8 ล้านพิกเซล แต่ก็ยังก็ไม่หวือหวามากเมื่อเทียบกับกล้องของ Samsung S6 edge / Note 5 / LG G4 ที่ขนาดว่าออกมาก่อนแต่ก็ยังมีความละเอียดมากกว่า อยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล ส่วน HTC M9+ มากที่สุด 20 ล้านพิกเซล

ในขณะเดียวกัน Apple ก็เคลมว่าภาพที่ได้จากเซนเซอร์ใหม่นี้ จะมีความอิ่มของสีและมีความแม่นยำในสีมากขึ้น ขนาดของ pixel ที่ลดลงจาก 1.5 micropixel ไปเป็น 1.22 micropixel ก็น่าจะให้ภาพที่อิ่มขึ้น
คราวนี้ลองมาดูภาพที่ถ่ายจากกล้องหลัง iPhone 6s เทียบกับ iPhone 6 กันดีกว่าครับ


อีกลูกเล่นนึงที่เพิ่มเข้ามา คือ Live Photo ถ้าเปิดโหมดนี้ตอนถ่ายรูป จะมีการบันทึกภาพ ก่อน-หลัง กดชัตเตอร์อย่างละ 1.5 วินาที เป็นภาพนิ่งที่เคลื่อนไหวได้สั้นๆ แบบอัตโนมัติ โดยใช้ภาพนิ่งจำนวนหนึ่งเรียงต่อกัน


ถ้าจะดูรูปแบบ Live Photo ให้เปิด Album แล้วออกแรงกดหนักๆ (3D Touch-ความสามารถใหม่ที่เพิ่งมีใน iPhone 6s อ่านได้ในหัวข้อที่ 4. เรื่องการใช้งาน) ที่ภาพถ่าย แล้วภาพจะแสดงรูป Live Photo ขยับได้ ซึ่งสามารถ Preview ดูได้บน Apple Device เกือบทุกเครื่อง ทั้ง iPhone, iPad และ Mac ผ่านแอพ Photos ครับ

HOW TO USE LIVE PHOTO [MANA Review]

ชมคลิป

ฟีเจอร์นี้ใส่มาเพื่อใช้เก็บโมเมนต์ประทับใจที่เกิดขึ้นขณะถ่ายรูป ส่วนผมคงไม่ใช้โหมดนี้ตลอดเวลา เพราะต้องใช้พื้นที่มากกว่ารูปปกติถึง 2 เท่า

ถ้าจะใช้ Live Photo เท่าที่คิดได้ตอนนี้ ผมว่าเหมาะกับการถ่ายรูป ‘สิ่งมีชีวิต’ เช่น แก๊งค์เพื่อนๆ สัตว์เลี้ยง เพราะเชื่อว่า ช่วงเวลาก่อนและหลังถ่ายรูป ต้องมีโมเมนต์หลุดๆ หรือน่ารักๆ แน่ๆ ครับ


2.2) กล้องหน้า

ไม่ต้องอายใครเพราะความต่ำต้อยอีกต่อไปแล้ว (เย้!) คราวนี้จัดมาที่ 5 ล้านพิกเซล นับว่าเป็นความละเอียดที่เท่าเทียมกับสมาร์ทโฟนค่ายอื่น หลังจากที่คงความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซลมานานหลายรุ่น


ปัญหาอย่างหนึ่งของกล้องหน้าแทบทุกแบรนด์ คือ ไม่มีแฟลช งานนี้ Apple เลยมีทางออกแบบกำปั้นทุบดินหน่อยๆ คือ เปิดแสงสว่างสีขาวของจอแบบสุดๆ ระหว่างการถ่ายภาพจากกล้องหน้า ซึ่งเรียกฟีเจอร์นี้ว่า ‘Retina Flash’ (ถ้าใครจำได้ เหมือนว่า iPhone รุ่นแรกๆ ก็มีแอพที่ทำแบบนี้นะ ตอนยังไม่มีแฟลช)

2.3) วิดีโอ

ขอปรบมือรัวๆ ครับ เพราะเป็นฟังก์ชั่นเดียวของกล้อง iPhone 6s ที่อัพเกรดแล้วไม่น้อยหน้าสมาร์ทโฟนในรุ่นเดียวกัน ด้วยความละเอียดระดับ 4K ซึ่งเป็นความละเอียดที่สูงสุดของการถ่ายวิดีโอของสมาร์ทโฟน ณ ตอนนี้


ถามว่า วิดีโอระดับ 4K ใช้พื้นที่ในเครื่องเยอะแค่ไหน? ถ้าดูจากรูปที่ใช้พื้นที่ 375 MB ต่อความยาว 1 นาที ผมว่าความจุ 16GB น้อยเกินไปที่จะรองรับการถ่ายไฟล์ระดับนี้ จริงๆ ถ้าชอบถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงขนาดนี้จริงๆ แนะนำให้ซื้อ 128 GB ไปเลย ไม่งั้นก็ประหยัดพื้นที่หน่อย ถ่ายเสร็จ Save ลงคอม จบ

Video Testing iPhone6s VS iPhone6 [MANA Review]

ชมคลิป

หรืออาจเลือกความละเอียดที่ต่ำกว่าได้ครับ จะปรับใช้ 4K, 1080p, 720p ที่อัตรา 30 fps หรือ 60 fps ก็ตามสะดวก


3. แบตเตอรี่

จากการใช้งานมาเกือบสัปดาห์ เรียกว่าอยู่ระดับกลางๆ คือเวลาแบตยังดีอยู่ก็สามารถใช้งานได้เกือบวัน ถ้าเปิด Low Power Mode (คุ้นๆ) ก็ได้เพิ่มนิดหน่อยประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ก็บอกได้เลยว่า iPhone ยังไม่ทิ้ง Power Bank ไปไหนแน่นอนครับ


4. การใช้งานและฟีเจอร์

iPhone 6s (และ iPhone 6s Plus) ใช้ชิป A9 64-bit และ RAM 2GB ทำให้โดยภาพรวมประมวลผลที่เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก จากการใช้งานเข้าออกแอพฯ หรือสวิตช์ไปแอพฯ ต่างๆ ตอนเปิดใช้หลายแอพพร้อมกัน สังเกตได้เลยว่า เร็วขึ้นมาก อีกสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ Taptic Engine หรือระบบสั่น ที่ตอนนี้เปลี่ยนไปใช้แบบเดียวกับ Apple Watch ซึ่งใช้พลังงานน้อยลง และสั่นได้ละเอียดขึ้น

Touch ID ใหม่ ที่เร็วขึ้นมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน อันนี้เร็วขึ้นมากจริงๆ บางทีกดตอนล๊อคเครื่องปุ๊บปลดล๊อคให้เฉยเลย ไม่ทันได้อ่าน Notification กันเลย

แต่ที่ผมคิดว่า ฟีเจอร์เด็ดที่สุดคราวนี้คงหนีไม่พ้น ‘3D Touch’ ที่รับรู้ “น้ำหนักการกดหน้าจอ” (ซึ่งเป็นฟีเจอร์คล้ายกับ Force Touch ใน Apple Watch และ MacBook แต่ใช้คนละเทคโนโลยีกัน) โดยใช้น้ำหนักการกดควบคุมฟีเจอร์ต่างๆ ได้มากขึ้นและสะดวกกว่าเดิม


เราสามารถเลือกเมนู Shortcut ก่อนเข้าแอพได้เลย สะดวกดีครับ หลายๆ แอพของ Apple เองก็รองรับแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Camera, Messages, Email, Phone หรือ instagram เองก็มีแล้วครับ


การใช้งานช่วงแรก อาจจะยังไม่คุ้น พอผ่านไป 1-2 วัน จะเริ่มคุ้นเคยจนทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ที่ผมใช้บ่อยๆ คือการเปิดเมลอ่านแบบแอบดู หรือกด Preview Link ที่แนบมากับอีเมล คล้ายกับการใช้ Quick Look ใน OS X เหมือนกันนะครับ


การกดและลากที่ขอบจอที่ช่วยให้เลื่อนการเลือกแอพฯ เพื่อ Multi-Task แทนการดับเบิ้ลคลิกที่ปุ่ม Home ก็สะดวกกับการใช้งาน โดยเฉพาะคนอย่างผมที่ชอบเปิดหลายๆ แอพฯ สลับกันไปมา


ฟีเจอร์ 3D Touch นี้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่วันนึงต้องมาถึง เพราะเราก็ได้เห็นตัวอย่างกันมาแล้วใน Apple Watch และ MacBook หลังจากนี้ ถ้านักพัฒนาทำแอพ ทำเกม มารองรับได้ดี ก็จะใช้งานได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น เหมือนที่คุณ Spin9 เคยพูดไว้ในรีวิวว่าเป็นฟีเจอร์ที่ใช้แล้วจะย้อนกลับไปไม่ได้ (เช่นเดียวกับ Touch ID และจอ Retina Display ถ้าไม่มีแล้วมันไม่คุ้นเคยจริงๆ)


5. จอภาพ

ขนาด 4.7 นิ้ว เท่ากับ iPhone 6 ความละเอียดเท่าเดิม 750 x 1334 พิกเซล (326 ppi) และเป็นจอแบบ IPS LCD เหมือนกับ iPhone 6 ทุกประการ

สรุป จอภาพไม่มีอะไรใหม่ ช่วงก่อนเปิดตัวผมแอบหวังลึกๆ ว่าคราวนี้ Apple อาจจะเปลี่ยนมาใช้จอ OLED เพราะเคยใช้ใน Apple Watch มาแล้ว ถ้า iPhone ใช้จอ OLED เราอาจจะได้เห็นโหมดขาว-ดำเหมือน Samsung ก็ได้ แต่สรุปว่าเปิดตัวมาเป็นจอ IPS เหมือนเดิมครับ

6. ความคุ้มค่า

วัดความคุ้มค่า iPhone 6s ด้วยค่าตัวอย่างไม่เป็นทางการซึ่งประเมินเอาเอง คือ 27,000 บาท ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมที่ดีไซน์สวย รุ่นล่าสุดของ Apple ขอทวนสูตรคำนวณที่ผมใช้ประจำนะครับ
ราคาซื้อ – ราคาขายต่อ = Total Value of Ownership

TVO = วัสดุ + คุณสมบัติ + บริการ + ประสบการณ์ใช้งาน + สิทธิประโยชน์ (Privilege) อื่นๆ
ราคาซื้อที่ 27,000 บาท ราคาขายต่อหลังจากใช้งาน 2 ปี จากประสบการณ์ประเมินว่า น่าจะขายได้ที่ราคา 15,000 บาท ซึ่งวัสดุ คุณสมบัติต่างๆ การใช้งาน อยู่ในระดับที่โอเค และสิทธิประโยชน์ที่ให้มา คือ iCloud Drive 5 GB (ซึ่งไม่พอแน่นอนถ้าใช้ Back Up) เท่ากับว่าราคาที่ต้องจ่ายอยู่ที่ 27,000 – 15,000 = 12,000 เฉลี่ยต่อวันตกวันละ 12,000/720 = 16 บาท ถือว่าคุ้มมากๆ เรื่องราคาขายต่อต้องยอมรับว่า iPhone ราคาตกน้อยที่สุดในตลาดแล้วจริงๆ


สรุปความหวั่นไหวครั้งนี้กับ iPhone 6s

โดยรวมต้องบอกว่า เหมือนเอา iPhone 6 มาอัพเกรดตามสไตล์ของรุ่น S รูปลักษณ์และการออกแบบทำได้ดีตามมาตรฐานที่ดีอยู่แล้วของ Apple การใช้งานและประมวลผลเร็วและลื่นไหลขึ้น
กล้องดีกว่าเดิม แต่ไม่ได้ดีเท่าไหร่ถ้าเทียบกับสมาร์ทโฟนในระดับเดียวกัน (กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล / กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล + แฟลชแบบ Retina Flash / วิดีโอคมชัดระดับ 4K) ส่วนตัวรู้สึกค่อนข้างโดนใจกับฟีเจอร์ 3D Touch เพราะช่วยให้การใช้งานสะดวกและเป็นธรรมชาติ และคิดว่าจะเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ iPhone โดดเด่นกว่าสมาร์ทโฟนคู่แข่งในแง่การใช้งาน

ถามว่า ถ้าใครที่ใช้ iPhone 5s, 5, 4s ควรซื้อมั๊ย ผมว่าควรมากๆ ครับ แต่ถ้าผมมี iPhone 6 อยู่แล้ว ควรจะซื้อ iPhone 6s มั๊ย? ผมคิดว่าคงไม่คุ้มเท่าไหร่ แต่ก็… ซื้อมาแล้ว ใช้ไปเลยละกันทั้งหมดเป็นความเห็นจากผม ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณพิจารณากันครับ

เพื่อนๆ ที่สนใจก็อย่าลืมไปสั่งจองกันได้ที่ AIS, Dtac และ TrueMove H ในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ หรือจะซื้อในวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 30 ตุลาคมนี้ได้ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ ดร มานะ แต่บางทีก็ไม่มานะ จาก www.pantip.com
Previous
Next Post »
Thanks for your comment